พันธุ์พืช

พันธุ์พืช

กฤษณา

กฤษณา

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Aquilaria crassna Pierre ex Lecomte
วงศ์ : Thymelaeaceae
ลักษณะ : ไม้ต้นสูงได้ถึง 30 เมตร ไม่ผลัดใบ ใบรูปรี หรือรูปไข่กลับ แผ่นใบมีขนประปรายตามขอบใบ และเส้นกลางใบ ออกเรียงสลับ ขอบจักฟันเลื่อยละเอียด รูปใบหอก กิ่งอ่อน และใบอ่อน มีขนเส้นไหมสีขาว ดอกสีขาว ไม่มีกลีบดอก ออกเป็นช่อเล็ก ๆ ช่อละ 4-6 ดอก มีกลิ่นหอม ออกดอกในช่วงฤดูร้อน และกลายเป็นผลแก่ประมาณเดือนพฤษภาคม - มิถุนายน ผลรูปรีเกือบกลม ยาว 2.5–3.5 เซ็นติเมตร มีขนประปราย น้ำมันที่สกัดได้จากเนื้อไม้ ถือเป็นหนึ่งในน้ำมันหอมระเหย ที่มีราคาแพงที่สุดในโลก
บริเวณที่พบ : มักพบขึ้นตามริมน้ำ พบกระจายไม่มากนักในป่าดิบชื้นและป่าผลัดใบผสม
ยางเสียน

ยางเสียน

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Dipterocarpus gracilis Blume
วงศ์ : Dipterocarpaceae
ลักษณะ : ไม้ต้น ตาดอกมีขนสีน้ำตาลอ่อนหนาแน่น หูใบรูปแถบ ยาว 5–8 ซม. ใบรูปรีหรือ รูปไข่ มีเส้นแขนงบนใบสวยงาม ปลายแหลมสั้นหรือแหลมยาว ออกดอกเป็นช่อ ด้านนอก มีขนสั้นนุ่ม ไม้ตระกูลยางที่ลำต้นสูงเด่นในเขตป่าดงดิบ เรือนยอดจึงปะทะแรงลมตลอด เวลา การขยายพันธุ์จึงอาศัยลม โดยลูกยางถูกออกแบบให้มีปีกที่เรียวยาวสำหรับหมุนลอย ตามลม
บริเวณที่พบ : บริเวณป่าดิบแล้งค่อนข้างชื้น และป่าดิบชื้น
หวายขม

หวายขม

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Calamus viminalis Willd.
วงศ์ : Arecaceae
ลักษณะ : เป็นไม้เถา ลำต้นมีขนาดปานกลาง ลำต้นสีเขียวแตกกอ ลำต้นและกาบใบมีหนาม กาบหุ้ม ลำต้นสีเขียวเข้ม เคลือบด้วยไขสีขาวบาง และมีหนามโดยรอบ ใบประกอบแบบ ขนนก ก้านใบมีหนาม ใบย่อยมี 75 - 90 ใบ เรียงตัวกันเป็นกระจุก แบบตรงกันข้าม กระจุก ละ 5-8 ใบ รูปแถบเรียวยาว ปลายใบแหลม ขอบใบมีหนามแหลมเล็ก ๆ มีอวัยวะที่ใช้เลื้อยเกาะ เป็นก้านยาว ๆ ยื่นออกมาจากจุดกำเนิดตรงส่วนบนของกาบหุ้มลำต้น และมีหนามโดยตลอด ช่อดอกออกมาจากลำต้นตรงส่วนที่มีกาบใบหุ้ม
ผลค่อนข้างกลม เป็นเกล็ด ซ้อนทับกันเป็นชั้น ๆ ผลอ่อนสีเขียวเมื่อแก่แล้วมีสีเหลืองขาว เนื้อในมีรสฝาด เมล็ดแข็ง ผิวขรุขระ หนึ่งผล มี 1-2 เมล็ดบริเวณที่พบ : บริเวณป่าดิบแล้งที่ชุ่มชื้น
เลือดแรด

เลือดแรด

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Knema globularia (Lam.) Warb.
วงศ์ : Myristicaceae
ลักษณะ : ไม้ต้น สูง 10 - 25 เมตร เรือนยอดเป็นพุ่มทรงสูง เปลือกแตกเป็นสะเก็ดสีน้ำตาล หรือสีเทาเข้ม เปลือกชั้นในสีชมพู ใบเดี่ยว เรียงสลับ แผ่นใบรูปใบหอก ไปจนถึงรูปใบหอกแกมรูปขอบขนาน ปลายใบแหลม โคนใบแหลม ผิวใบด้านบนสีเขียวเข้มเป็นมัน ด้านล่างสีขาวนวล ดอกเล็ก สีเหลืองนวล ออกเป็นกระจุกตามกิ่ง และตามง่ามใบ ผลค่อนข้างกลมถึงกลมรี เมื่อแก่สีส้ม แตกออกเป็น 2 ซีก มี 1 เมล็ด
บริเวณที่พบ : ป่าดิบชื้น
ตาเสือ

ตาเสือ

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Aphanamixis polystachya (Wall.) R. Parker
วงศ์ : Meliaceae
ลักษณะ : ไม้ต้นขนาดใหญ่ ไม่ผลัดใบ เรือนยอดแน่น ใบ เป็นใบประกอบ ออกเวียนสลับ มีใบย่อยติดตรงข้ามเป็นคู่ 3 - 7 คู่ ดอกกลมสีออกเหลืองขนาดเล็ก แยกเพศ ติดบนแกนยาว ตามง่ามกิ่งบน ๆ ช่อดอกเพศผู้แตกกิ่งก้าน ช่อดอกเพศเมียไม่แตกกิ่งก้าน ผลกลมเมื่อแก่ แตกออกเป็น 3 เสี่ยง มี 3 เมล็ด หรือบางเมล็ดฝ่อไป เมล็ดสีน้ำตาลเข้ม ปกคลุมด้วยเนื้อนุ่ม สีแดงสด
บริเวณที่พบ : ป่าดงดิบ จากที่ราบจนถึงที่สูง 1,800 เมตร จากระดับน้ำทะเล แต่อาจพบได้ ในป่าเบญจพรรณด้วย
ทะโล้

ทะโล้

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Schima wallichii (DC.) Korth.
วงศ์ : Theaceae
ลักษณะ : ไม้ต้นขนาดใหญ่ สูงได้ถึง 35 เมตร ไม่ผลัดใบ เรือนยอดแน่น ใบเดี่ยว ออกเวียนสลับ มีรูปร่างหลายแบบ ดอกสีขาว มีก้านดอกออกเดี่ยว ๆ หรืออยู่เป็นกลุ่มตามง่ามใบ กลีบดอกมี 5 กลีบ แยกกัน เกสรเพศผู้มีจำนวนมาก สีเหลืองถึงสีส้ม ผลแข็ง เมื่อแก่จะแตกออกเป็น 5 เสี่ยง เมล็ดเล็กมีปีกจำนวนมาก
บริเวณที่พบ : ป่าดิบชื้น
จำปีป่า

จำปีป่า

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Magnolia baillonii Pierre
วงศ์ : Magnoliaceae
ลักษณะ : ไม้ต้น สูงได้ถึง 35 เมตร หูใบแนบติดก้านใบน้อยกว่ากึ่งหนึ่ง ใบรูปรี รูปไข่ หรือรูปขอบขนาน ปลายแหลมสั้น ๆ แผ่นใบด้านล่างมีขน ออกดอกเป็นช่อ ดอกมีกลิ่นหอม สีขาว เรียงหลายวง รูปใบหอกแคบ กลีบวงในสั้นกว่าวงนอก ผลรูปรี หรือรูปทรงกระบอก มีก้านสั้น ๆ ผลย่อยเชื่อมติดกัน แตกออก แกนกลางติดทน
บริเวณที่พบ : ป่าดิบแล้ง และป่าดิบเขา ความสูงถึงประมาณ 1,300 เมตร
หวายแดง

หวายแดง

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Renanthera coccinea Lour.
วงศ์ : Orchidaceae
ลักษณะ : กล้วยไม้อิงอาศัย หรือขึ้นตามชอกหิน มีลำต้นยาว ใบรูปขอบขนาน กว้าง 1.5 - 3 เซ็นติเมตร ยาว 7 - 8 เซ็นติเมตร ปลายใบเว้า ดอกออกเป็นช่อ แตกแขนงจากซอกใบ ดอกสีแดงเข้ม ขนาดบานเต็มที่กว้าง 3.5 เซ็นติเมตร กลีบปากมีขนาดเล็ก ปลายกลีบเป็นติ่งแหลม
บริเวณที่พบ : พบทั่วไปบริเวณที่โล่งของป่าดิบแล้ง
สะเม็กขาว

สะเม็กขาว

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Agapetes bracteata Hook. f. ex C. B. Clarke
วงศ์ : Ericaceae
ลักษณะ : ไม้ถิ่นเดียว หรือพืชเฉพาะถิ่นของไทย เป็นพุ่มไม้อิงอาศัย สูงได้ถึง 2 เมตร ลำต้นกลมหรือเป็นเหลี่ยมเล็กน้อย มีขนตามปลายกิ่ง ก้านใบ ช่อดอก ก้านดอก และใบประดับ ใบเดี่ยวเรียงตรงข้าม รูปรีหรือรูปขอบขนาน ยาวประมาณ 5 เซ็นติเมตร ปลายใบแหลมยาวหรือยาวคล้ายหาง แผ่นใบหนา ก้านใบยาว 0.3 - 0.4 เซ็นติเมตร ดอกออกเป็นช่อเชิงหลั่นตามชอกใบ ดอกออกห่าง ๆ ใบประดับคล้ายใบรูปขอบขนาน หรือรูปใบหอก กลีบเลี้ยงและกลีบดอกอย่างละ 5 กลีบ กลีบเลี้ยงรูปสามเหลี่ยม กลีบดอกติดกันเป็นหลอด ปลายแยกเป็นกลีบลึก ประมาณกึ่งกลางกลีบ กลีบรูปใบหอก ปลายม้วนงอออก เกสรเพศผู้ 10 อัน ยื่นพ้นหลอดกลีบ อับเรณูติดกันล้อมรอบเกสรเพศเมีย ด้านหลังอับเรณู มีเดือย 2 เดือย ผลแบบมีเนื้อหลายเมล็ดทรงกลม
บริเวณที่พบ : ขึ้นอยู่ตามคาคบไม้ในดิบเขาที่ความสูงตั้งแต่ 1,200 เมตร จากระดับทะเล
โมลีสยาม

โมลีสยาม

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Reevesia pubescens var. siamensis (Craib) Anthony
วงศ์ : Sterculiaceae
ลักษณะ : พืชถิ่นเดียว หรือพืชฉพาะถิ่นของไทย มีทรงต้นที่สวยงาม ดอกมีกลิ่นหอม ลำต้นสูง 5 - 12 เมตร มีกิ่งอ่อน ใบอ่อน และช่อดอกที่ปกคลุมด้วยขนนุ่ม ใบเดี่ยวเรียงสลับแผ่น ใบรูปไข่หรือรูปรี ขนาดกว้าง 2-3 เซ็นติเมตร ยาว 6-20 เซ็นติเมตร ปลายใบแหลมหรือเรียวแหลม โคนใบมน ผิวใบเกลี้ยง ทั้งสองด้าน ขอบใบเรียบ เส้นแขนงใบเชื่อมประสานกันก่อนถึงขอบใบ ก้านใบยาว 1-2 ซม. ดอกของโมลีสยามเป็นรูปหงระฆังสีขาวอมชมพู กว้างประมาณ 0.5 เซ็นติเมตร ยาว 0.5-0.8 เซ็นติเมตร ด้านนอกของดอกมีขนประปราย ผลเป็นรูปไข่กลับ กว้าง 1.2 - 1.5 เซ็นติเมตร ยาว 2 - 4 เซ็นติเมตร เป็นพูตามยาว 5 พู สีเขียวอ่อนมีขนปกคลุม เนื้อผลแข็ง เมื่อแก่แตกระหว่างพู เมล็ดเล็กมีปีก
บริเวณที่พบ : กระจายพันธุ์อยู่ตามป่าดิบชื้นที่มีความสูงกว่าระดับน้ำทะเล 600-1,300 เมตร
---
เครือพูเงิน

เครือพูเงิน

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Argyreia mollis (Burm. f.) Choisy
วงศ์ : Convolvulaceae
ลักษณะ : เครือพูเงิน เป็นไม้เลื้อยเนื้อแข็ง ไม่มีมือเกาะอย่างไม้เถาวัลย์ทั่วไป ลำต้นสามารถเลื้อยได้ไกลถึง 10 เมตร กิ่งอ่อนมีขนสีขาวเงินปนสีน้ำตาลอ่อน เส้นยาวราบหนาแน่น ใบรูปรีแกมขอบขนานปลายแหลม ผิวใบด้านบนมีขนประปราย ใต้ใบมีขนสีขาวเงิน นุ่มคล้ายเส้นไหม หนาแน่น ออกดอกเป็นช่อตามซอกใบ 1- 5 ดอก สีม่วงอ่อนหรือสีชมพู โคนกลีบสีขาวปลายแผ่ติดกัน ด้านนอกของโคนดอกมีขนเป็นแฉก ขนาดดอก 3.5 - 4 เซ็นติเมตร ผลค่อนข้างกลม สีส้ม อมแดง เมล็ดสีดำ มี 4 เมล็ด
บริเวณที่พบ : มักพบขึ้นตามป่ารุ่น ป่าละเมาะ และป่าเบญจพรรณ ตั้งแต่ระดับพื้นล่างไป จนถึงความสูง 1,000 เมตร จากระดับทะเลปานกลาง
เอื้องสีตาล

เอื้องสีตาล

ชื่อวิทยาศาสตร์ Dendrobium heterocarpum Lindl.
วงศ์ : Orchidaceae
ลักษณะ : เอื้องสีตาล เอื้องแซะดง หรือ เอื้องสีจุน เป็นกล้วยไม้อิงอาศัย ต้นเป็นลำกลม โคนและปลายสอบเล็กน้อย ยาว 15-30 เซ็นติเมตร ใบรูปหอก กว้าง 1.5-2.5 เซ็นติเมตร ยาว 10-16 เซ็นติเมตร ดอก ออกเป็นช่อสั้น ๆ ตามข้อ มี 2-5 ดอก บานเต็มที่กว้าง 4-5 เซ็นติเมตร กลีบเลี้ยงและกลีบดอกมีสีขาวนวลถึงน้ำตาลอมเหลือง กลีบปากสีเหลืองถึงน้ำตาลเข้มและมีเส้นสีน้ำตาลพาดตามยาว ดอกมีกลิ่นหอม
บริเวณที่พบ : พบตามป่าดิบที่สูงจากระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 1,000 เมตร ขึ้นไป
ว่านแผ่นดินเย็นเขาใหญ่

ว่านแผ่นดินเย็นเขาใหญ่

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Nervilia khaoyaica Suddee (Watthana & S.W. Gale)
วงศ์ : Nervilia
ลักษณะ : เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "ว่านพระฉิม" เป็นกล้วยไม้ดิน ขึ้นอยู่บนเขาที่มีความสูงจากระดับทะเลปานกลาง 733 เมตร ความสูงของต้น ตั้งแต่หัวใต้ดินถึงช่อดอกประมาณ 9 เซนติเมตร ดอกมีกลีบเลี้ยงสีน้ำตาลอ่อนแกมเขียว ไปจนถึงน้ำตาลเข้มหรือน้ำตาลแดง 5 กลีบ กลีบปากมีแถบสีเขียว หรือบางดอกมีสีเหลืองตรงกลางกลีบ มีเส้นและจุดสีม่วงกระจายอยู่รอบๆ กลีบ ดอกใบมีลักษณะพิเศษคือเป็นรูปหัวใจ ทรงเหลี่ยม ยาว 4.8-6.7 เซนติเมตร กว้าง 5.5 6.8 เซนติเมตร บางต้นออกใบเป็นสีม่วง บางต้นใบเป็นสีเขียว
บริเวณที่พบ : พบประปรายบริเวณป่าดิบชื้น และมีอากาศเย็น
หญ้าคางเลือยเขาใหญ่

หญ้าคางเลือยเขาใหญ่

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Scutellaria khaoyaiensis A. J. Paton
วงศ์ : Lamiaceae
ลักษณะ : ไม้พืชล้มลุกชนิดใหม่ของโลก สูงประมาณ 20 - 40 เซนติเมตร ช่อดอกออกที่ปลายยอด ดอกออกตรงข้ามกัน กลีบเลี้ยงยาวประมาณ 3 มิลลิเมตร มีขนต่อม กลีบดอกโคนเชื่อมกันเป็นหลอดโค้งสีน้ำเงินเข้ม กลีบล่างมีแต้มสีขาวตรกลาง ยาวได้ถึง 1.2 เซนติเมตร ใบรูปรี มีขนาด 4-6 x 2-3 เซนติเมตร ขอบใบหยักฟันเลื่อย ปลายใบแหลม ฐานใบรูปลิ่ม ใบเกลี้ยง และมีขนบ้างประปรายที่เส้นใบ ไม่มีต่อม ก้านใบยาว 2-4 เซนติเมตร เมล็ดสีน้ำตาล
บริเวณที่พบ : ขึ้นตามที่ชื้นบนก้อนหินตามลำธาร ในพื้นที่ป่าดิบเขา โดยเฉพาะบริเวณเขาเขียว อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่
ดอกไม้หิน

ดอกไม้หิน

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Polypleurum ubonense
วงศ์ : Podostemaceae
ลักษณะ : ดอกไม้หิน มีลักษณะโดดเด่นอยู่ที่ชีพลักษณ์ ที่ขึ้นอยู่บนหินที่มีน้ำไหลเชี่ยว เช่น ลำธาร น้ำตก โดยทั่วไปดอกไม้หินจะจมอยู่ใต้น้ำ แต่เมื่อหน้าแล้งงระดับน้ำลดลงจะมีบางส่วนโผล่พ้นน้ำขึ้นมา แต่เนื่องจากมีขนาดเล็กมากก็มักจะถูกมองข้ามไป ดอกไม้หินที่พบในอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ เป็นพืชชนิดใหม่ของโลก เป็นพืชล้มลุกอายุหลายปี มีรากเป็นแผ่นแข็งเปราะและมีใบเป็นเกล็ดเล็ก ดอกสมบูรณ์เพศ ขนาดเล็กมาก ออกเดี่ยวๆ ที่ปลายยอด มีก้านดอกสั้น และอยู่ในกาบเล็กก่อนที่จะบาน ดอกมีเพียงกลีบรวม 2 กลีบ เกสรเพศผู้ 2 อัน รังไข่ติดเหนือวงกลีบ มี 2 ช่อง เจริญเป็นผลแบบแก่ แตกมี 2 เสี่ยง
บริเวณที่พบ : บนหินที่มีน้ำไหลเชี่ยว บริเวณหินใต้ลำธารลำตะคอง ทางตอนใต้ของพื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่
เปราะหินเหลือง (เปราะเขาใหญ่)

เปราะหินเหลือง (เปราะเขาใหญ่)

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Monolophus saxicola (K. Larsen) Veldkamp & Mood
วงศ์ : Zingiberaceae
ลักษณะ : พืชถิ่นเดียว หรือพืชของประเทศไทย เป็นไม้ล้มลุกขึ้นตามก้อนหินที่ชื้น อุทยานแห่งชาติ ภูหินร่องกล้า คำระบุชนิด ‘saxicola’ มาจากภาษาละตินคำว่า ‘saxum’ หมายถึงหิน หมาย ความว่าพืชชนิดนี้ชอบขึ้นบนหิน พืชในสกุล Caulokaempferia เดิม ปัจจุบันถูกแยกและ จัดอยู่ในหลายสกุล เช่น เปราะภูเมี่ยง Boesenbergia alba (K. Larsen & R. M. Sm.) Mood & L. M. Princ ถูกจัดอยู่ในสกุล Boesenbergia ส่วนกลุ่มที่มีดอกสีเหลืองจะถูกจัด อยู่ในสกุล Monolophus
บริเวณที่พบ : ขึ้นเป็นกลุ่มตามโขดหินที่มีมอสหนาแน่น ใต้ร่มเงาในป่าดิบเขา ความสูง 900-1,100 เมตร โดยเฉพาะบริเวณเขาเขียว อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่
ขอบคุณภาพจาก
Phanakorn Kraomklang
รักษ์เขาใหญ่